More Related Content
คลาสและการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุเบื้องต้น 1
โครงสร้างการเขียนโปรแกรมภาษาไพธอน
Lab Computer Programming 1
การเขียนคำสั่งควบคุมขั้นพื้นฐาน
การเขียนคำสั่งขั้นพื้นฐาน(ภาษาC)
What's hot (20) การเขียนฟังก์ชั่นในภาษา C
ใบความรู้ที่ 1 ความรู้พื้นฐานโปรแกรมภาษาซี
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาPhp
ชื่อนางสาวรัตนาวดี ติมุลา รหัสนิสิต 59670107 กลุ่ม 3301
ชื่อนางสาวรัตนาวดี ติมุลา รหัสนิสิต 59670107 กลุ่ม 3301
ชื่อนางสาวรัตนาวลี ติมุลา รหัสนิสิต 59670108 กลุ่ม 3301
บทที่1 พื้นฐานโปรแกรมภาษาซี
ชื่อนางสาวอรยา กรดเครือ รหัสนิสิต 59670118 กลุ่ม 3301
Hyper text markup language
Similar to Php beginner (20)
PHP Tutorial (introduction)
Introduction to PHP programming
การพัฒนาเอกสารออนไลน์ขั้นสูง Lect 05
รายงาน PHP - Know2pro.com
(Php basic 1 [โหมดความเข้ากันได้])
คลาสและการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุเบื้องต้น
การพัฒนาโปรแกรม วิชญา เลขที่ 26.2
Php beginner3. PHP คืออะไร ภาษาคอมพิวเตอร์ ในลักษณะ เซิร์ฟเวอร์-ไซด์ สคริปต์ โดยลิขสิทธิ์อยู่ในลักษณะ โอเพนซอร์ส ภาษาพีเอชพีใช้สำหรับจัดทำ เว็บไซต์ และแสดงผลออกมาในรูปแบบ HTML โดยมีรากฐานโครงสร้างคำสั่งมาจากภาษา ภาษาซี ภาษาจาวา และ ภาษาเพิร์ล ซึ่ง ภาษาพีเอชพี นั้นง่ายต่อการเรียนรู้ ซึ่งเป้าหมายหลักของภาษานี้ คือให้นักพัฒนาเว็บไซต์สามารถเขียน เว็บเพจ ที่มีความตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว 4. ตัวอย่างภาษาพีเอชพี <?php echo "Hello, World!"; ?> <? echo "Hello World."; ?> <script language="php"> echo "Hello World."; </script> <% echo "Hello World."; %> 5. โครงสร้าง ควบคุมของ PHP <? for ($i = 0; $i < 10; $i++){ echo "Test $i"; } ?> โครงสร้าง ควบคุมของ PHP จะมีความคล้ายคลึงกับ C/C++ มาก เช่น if , for , switch และมีบางส่วนที่คล้าย Perl สามารถกำหนดตัวแปรโดยไม่ต้อง นิยามก่อนได้ 6. คุณสมบัติ การแสดงผลของพีเอชพี จะปรากฏในลักษณะ HTML ซึ่งจะไม่แสดงคำสั่งที่ผู้ใช้เขียน ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่พีเอชพีแตกต่างจากภาษาในลักษณะ ไคลเอนต์-ไซด์ สคริปต์ เช่น ภาษาจาวาสคริปต์ ที่ผู้ชมเว็บไซต์สามารถอ่าน ดูและคัดลอกคำสั่งไปใช้เองได้ นอกจากนี้พีเอชพียังเป็นภาษาที่เรียนรู้และเริ่มต้นได้ไม่ยาก โดยมีเครื่องมือช่วยเหลือและคู่มือที่สามารถหาอ่านได้ฟรีบนอินเทอร์เน็ต 8. การแสดงผลของพีเอชพี ถึงแม้ว่าจุดประสงค์หลักใช้ในการแสดงผล HTML แต่ยังสามารถสร้าง XHTML หรือ XML ได้ นอกจากนี้สามารถทำงานร่วมกับคำสั่งเสริมต่างๆ ซึ่งสามารถแสดงผลข้อมูลหลัก PDF แฟลช ( โดยใช้ libswf และ Ming) พีเอชพีมีความสามารถอย่างมากในการทำงานเป็นประมวลผลข้อความ จาก POSIX Extended หรือ รูปแบบ Perl ทั่วไป เพื่อแปลงเป็นเอกสาร XML ในการแปลงและเข้าสู่เอกสาร XML เรารองรับมาตราฐาน SAX และ DOM สามารถใช้รูปแบบ XSLT ของเราเพื่อแปลงเอกสาร XML 9. การ รองรับพีเอชพี คำสั่งของพีเอชพี สามารถสร้างผ่านทางโปรแกรมแก้ไขข้อความทั่วไป เช่น โน้ตแพด หรือ vi ซึ่งทำให้การทำงานพีเอชพี สามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการหลักเกือบทั้งหมด 12. การรองรับการสื่อสารกับการบริการ พีเอชพียังสามารถรองรับการสื่อสารกับการบริการใน โพรโทคอล ต่างๆ เช่น LDAP IMAP SNMP NNTP POP3 HTTP COM ( บนวินโดวส์ ) และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งสามารถเปิด Socket บนเครื่อข่ายโดยตรง และ ตอบโต้โดยใช้ โพรโทคอลใดๆ ก็ได้ PHP มีการรองรับสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ WDDX Complex กับ Web Programming อื่นๆ ทั่วไปได้ พูดถึงในส่วน Interconnection, พีเอชพีมีการรองรับสำหรับ Java objects ให้เปลี่ยนมันเป็น PHP Object แล้วใช้งาน คุณยังสามารถใช้รูปแบบ CORBA เพื่อเข้าสู่ Remote Object ได้เช่นกัน 14. การเขียนภาษา PHP สำหรับการเขียนก็จะอาศัยโปรแกรมประเภท text editor ทั่วไป เช่น ใช้โปรแกรม NotePad ในระบบ windows เป็นต้น แต่ที่นี้จะใช้โปรแกรม EditPlus โครงสร้างพื้นฐาน ที่กล่าวไปแล้วว่า PHP สามารถใช้ร่วมกับ HTML ได้ทันทีนั้น เราจะมีสัญลักษณ์พิเศษที่แยก PHP ออกจาก HTML แบบที่ 1 เปิดด้วยแท็ก <? และ ปิดด้วย ?> ภายใต้แท็ก <?…?> นั้นจะเป็น PHP ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น 15. แบบที่ 2 เปิดด้วยแท็ก <?php และ ปิดด้วย ?> ภายใต้แท็ก <?…?> นั้นจะเป็น PHP ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น แบบที่ 3 เปิดด้วยแท็ก <script language=”php”> และ ปิดด้วย </script> ภายใต้สคริปต์นั้นจะเป็น PHP ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น แบบที่ 4 เปิดด้วยแท็ก <% และ ปิดด้วย % > ภายใต้สคริปต์นั้นจะเป็น PHP ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น 16. การเขียน Comment ในการเขียนโปรแกรมใดๆ ก็ตามโดยเฉพาะระบบโปรแกรมใหญ่ๆ ส่วนจะหลงลืม หรือจำไม่ได้ว่า แต่ละส่วนเขียนไปเพื่ออะไร จึงควรใส่หมายเหตุของโปรแกรมลงไปด้วย สำหรับ PHP นั้นใช้สัญลักษณ์ // และ # เพื่อบอกโปรแกรมว่า ไม่ต้องประมวลผล ในส่วนนั้นๆ ตัวอย่าง 17. การแสดงข้อความออกทาง Browser ในการแสดงผลได้ 2 คำสั่งคือ echo และ print ซึ่งสามารถใช้แทนกันได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยน syntax ใดๆอีก ผลที่ได้ : 18. การใช้ตัวแปรในภาษา PHP สำหรับการเขียนโปรแกรมสำหรับภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง สิ่งที่จะขาดเสียมิได้คือ การกำหนดและใช้ตัวแปร ( variable) ตัวแปรในภาษา PHP จะเหมือนกับในภาษา Perl คือเริ่มต้นด้วยเครื่องหมาย dollar ($) โดยเราไม่จำเป็นต้องกำหนดแบบของข้อมูล ( data type) อย่างเจาะจงเหมือนในภาษาซี เพราะว่า ตัวแปลภาษาจะจำแนกเองโดยอัตโนมัติว่า ตัวแปรดังกล่าว ใช้ข้อมูลแบบใด ในช่วงเวลานั้นๆ เช่น ข้อความ จำนวนเต็ม จำนวนที่มีเลขจุดทศนิยมตรรก เป็นต้น ตัวอย่างการใช้งาน เช่น 21. โดยมีคำสั่งในเพิ่มเติมในการแสดงภาพ ดังนี้ การกำหนดขนาดรูปภาพ ให้ตรงกับความต้องการ WIDTH หมายถึง ความกว้างของรูปภาพ และ HEIGHT หมายถึง ความสูงของรูปภาพ <IMG SRC= \“picture.gif\” WIDTH=number% | HEIGHT=number%> การกำหนดกรอบให้กับรูปภาพ <BORDER=n> การวางตำแหน่งรูปภาพ แบบแนวนอน ประกอบด้วย LEFT | RIGHT แบบแนวตั้ง ประกอบด้วย เสมอบน มี 2 คำสั่ง คือ TOP | TEXTTOP กึ่งกลาง มี 2 คำสั่ง คือ MIDDLE | ABSMIDDLE เสมอล่าง มี 3 คำสั่ง คือ BASELINE | BOTTOM | ABSBOTTOM 22. ชนิดของข้อมูล Integers ใช้สำหรับเก็บข้อมูลจำนวนเต็มทั้งจำนวนเต็มบวกและจำนวนเต็มลบ รวมทั้งแสดงค่าเป็น เลขฐานสิบ (0-9) ฐานแปด (0-7) และเลขฐานสิบหก (0-9, A-F หรือ a-f ) โดยที่เลขฐานแปดจะขึ้นต้นด้วย 0 และเลขฐานสิบหกจะขึ้นต้นด้วย 0x หรือ 0X มีค่าได้ทั้งบวกและลบ 23. Floating point ใช้สำหรับเก็บข้อมูลจำนวนจริงบวกและลบ จะมีทศนิยมหรือไม่มีก็ได้และรูปแบบยกกำลัง String ใช้เก็บข้อมูลที่เป็นข้อความ รวมทั้งตัวเลข ( ไม่สามารถนำไปคำนวณได้ ) รหัสควบคุมพิเศษต่างๆ 24. Array ข้อมูลแบบนี้เป็นการเก็บข้อมูลเป็นชุดๆ แต่ละชุดมีสมาชิกเป็นของตัวเองจะมีมากน้อยแค่ไหนก็ได้ ทำให้มีความคล่องตัวในการใช้งานมากขึ้น การสร้างตัวแปรอาเรย์จะใช้ฟังก์ชัน array() Object เป็นการเขียนชุดคำสั่งเพื่อเก็บข้อมูลในลักษณะออปเจกต์ เพื่อการเรียกใช้ Class Object หรือ Function ผลลัพธ์ที่ได้คือข้อความว่า Hello World ในการเรียกใช้ฟังก์ชันที่อยู่ภายใน Class จะใช้เครื่องหมาย - > เป็นการอ้างอิง 25. ตัวดำเนินการ หรือ Operator ในภาษา PHP มี Operator ต่างๆ ให้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นโอเปอเรเตอร์ทางคณิตศาสตร์ โอเปอเรเตอร์เชิงตรรกะ เช่นเดียวดับภาษาอื่นดังนี้ 27. การใช้เงื่อนไข ( condition) เพื่อการตัดสินใจ การใช้ IF...ELSE Condition เป็นการกำหนดเงื่อนไขที่ธรรมดาที่สุด คือกำหนดเงื่อนไข แล้วโปรแกรมตรวจสอบเงื่อนไขนั้น ถ้าเงื่อนไขนั้นเป็นจริงก็จะทำตามคำสั่งที่กำหนด ถ้าเป็นเท็จก็จะไม่ทำ ผลที่ได้ : Summation = 10 28. การใช้ Switch…Case ในบางครั้งในการกำหนดทางเลือกของโปรแกรมโดยการใช้ If…Else อาจจะทำให้เขียนโปรแกรมยาวและทำความเข้าใจยาก ดังนั้นเราอาจใช้ Switch แทนซึ่งเขียนโปรแกรมง่ายกว่าและมีความกระชับมากกว่า ผลที่ได้ : i equals 2 29. การวนลูป การใช้ While Loop คำสั่ง while จะทำงานโดยการตรวจสอบเงื่อนไขก่อน ถ้าเงื่อนไขเป็นจริงก็จะทำตามคำสั่ง ผลที่ได้ : 12345 30. Do while เป็นคำสั่งที่คล้ายกับ While Loop แต่ต่างกันที่ Do while นั้นจะทำงานโดยการตรวจสอบเงื่อนไขภายหลังจากการทำงานไปแล้วแต่ While นั้นจะตรวจสอบเงื่อนไขก่อนการทำงาน ผลที่ได้ : 5 กรณีที่ใช้ While...Loop จะทำการตรวจสอบเงื่อนไขก่อน แล้วจึงค่อยทำในลูป กรณีที่ใช้ Do...Loop จะทำคำสั่งในลูปก่อน แล้วจึงค่อยตรวจสอบเงื่อนไข 31. For Loop คำสั่งนี้จะทำหน้าที่สั่งให้โปรแกรมทำงานวนรอบตามต้องการ ซึ่งกำหนดเป็นเงื่อนไข โดยจะทำเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง และจะมีลักษณะการวนรอบที่รู้จำนวนรอบที่แน่นอน ผลที่ได้ : 12345 32. Foreach เป็นการทำงานในลักษณะวนรอบที่ทำงานกับตัวแปรอาร์เรย์ โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลทั่วไป โดย $Value เป็นตัวกำหนดค่าให้กับ array expression โดยพอยน์เตอร์จะเลื่อนไปตามสมาชิดถัดไปของอาร์เรย์ตามการเปลี่ยนแปลงรอบที่เปลี่ยนไป 33. การใช้ break และ continue ภายในลูป คำสั่ง break เป็นคำสั่งจะใช้เพื่อให้หยุดการทำงาน จากการใช้คำสั่งเพื่อวนรอบที่ผ่านมาจะเห็นว่าจะออกจากการวนรอบเมื่อสิ้นสุดการทำงานแล้วเท่านั้น แต่ถ้าต้องการให้หยุดทำงานกะทันหัน สามารถใช้คำสั่ง break ก็ได้ คำสั่ง continue เป็นคำสั่งที่ทำงานตรงข้ามกับคำสั่ง break คือ จะสั่งให้โปรแกรมทำงานต่อไป ถ้าใช้คำสั่ง Continue กับ For เมื่อพบคำสั่งนี้จะเป็นการสั่งให้กลับไปเพิ่มค่าให้กับตัวแปรทันที หรือถ้าใช้กับคำสั่ง While เมื่อพบคำสั่งนี้จะเป็นการสั่งให้กลับไปทดสอบเงื่อนไขใหม่ทันที 34. ผลที่ได้ : Blue คำสั่ง continue บังคับให้ไปเริ่มต้นทำขั้นตอนในการวนลูปครั้งต่อไป ส่วน break นั้นส่งผลให้หยุดการทำงานของลูป 35. การใช้คำสั่ง include และ require คำสั่งทั้งสองเอาไว้แทรกเนื้อหาจากไฟล์อื่นที่ต้องการ ข้อแตกต่างระหว่าง include และ require อยู่ตรงที่ว่า ในกรณีของการแทรกไฟล์ใช้ชื่อต่างๆ กันมากกว่าหนึ่งครั้งโดยใช้ลูป คำสั่ง require จะอ่านเพียงแค่ครั้งเดียว คือไฟล์แรก และจะแทรกไฟล์นี้เท่านั้นไปตามจำนวนครั้งที่วนลูป ในขณะที่ include สามารถอ่านได้ไฟล์ต่างๆ กันตามจำนวนครั้งที่ต้องการ 36. การใช้งาน MySQL การสร้างฐานข้อมูล ในการสร้างฐานข้อมูลของ MySQL สามารถสร้างผ่าน phpMyAdmin ได้เลย โดยการเลือก Internet Explorer ขึ้นมาพิมพ์ 127.0.0.1 ที่ address bar จะได้หน้าต่างดังนี้ 37. ชนิดของข้อมูลใน MySQL ชนิดของข้อมูลพื้นฐาน มี 3 ชนิด คือ ตัวเลข , วันที่เวลา และตัวอักษร แต่ละชนิดจะมีขนาดไม่เท่ากัน ดังนั้น เมื่อกำหนดคอลัมน์หรือฟิลด์ข้อมูลในตารางบนฐานข้อมูล จะต้องคำนึงถึงชนิดของข้อมูลด้วย เพื่อความเหมาะสมของข้อมูล โดยข้อมูลแต่ละชนิดมีรายละเอียดดังนี้ ชนิดตัวเลข แบ่งได้เป็น เลขจำนวนเต็มและเลขจำนวนจริง ตารางแสดงชนิดของตัวเลขจำนวนเต็ม 40. ฟังก์ชันในการจัดการฐานข้อมูลใน MySQL การเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ในการติดต่อกับฐานข้อมูลจะต้องทำหารเปิดการติดต่อดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์ก่อน โดยมีรูปแบบการใช้งานดังนี้ mysql_connect (hostname, username, password); hostname คือ ชื่อของดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์ ในการที่ติดตั้ง MySQL ไว้ในเครื่องเดียวกับเว็บเซิร์เวอร์ ก็สามารถระบุเป็น localhost แทนชื่อจริงได้เลย username คือ ชื่อผู้ใช้ที่ถูกกำหนดให้สามารถทำงานกับ MySQL ได้ password คือ รหัสผ่านของผู้ใช้ หรือจะระบุหรือไม่ก็ได้ 42. การยกเลิกการเชื่อมต่อ ฟังก์ชันที่ใช้ในการยกเลิกหรือปิดการติดต่อดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์ mysql_close (database_connect); โดยผลลัพธ์ที่คืนออกมาจากฟังก์ชันนี้ ถ้าปิดการติดต่อกับ MySQL ได้สำเร็จก็จะมีค่าเป็นจริง ถ้าไม่สำเร็จจะมีค่าเป็นเท็จ เช่น 44. การนำภาษา SQL มาใช้ในฐานข้อมูล MySQL ฟังก์ชัน mysql_query() เป็นฟังก์ชันสำหรับสั่งงาน MySQL ด้วยภาษา SQL เพื่อจัดการกับข้อมูลในฐานข้อมูล เช่น การเพิ่ม การลบ เป็นต้น ต้องใช้กับฟังก์ชัน mysql_select_db() mysql_query (string query, [database_connect]); query หมายถึง คิวรีที่เรียกใช้ฐานข้อมูล database_connect หมายถึง ตัวแปรที่ใช้เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล จะกำหนดหรือไม่ก็ได้ เช่น 45. ฟังก์ชัน mysql_db_query() เป็นฟังก์ชันสำหรับสั่งงาน MySQL ด้วยภาษา SQL เพื่อจัดการกับข้อมูลในฐานข้อมูลเหมือนกับฟังก์ชัน mysql_query แต่ไม่ต้องใช้ร่วมกับฟังก์ชัน mysql_select_db() เพราะสามารถกำหนดชื่อฐานข้อมูลไว้ในฟังก์ชันได้เลย mysql_db_query (string databasename, string query); เช่น 46. ฟังก์ชัน mysql_free_result() เป็นฟังก์ชันสำหรับคืนหน่วยความจำให้กับระบบ เพื่อใช้หน่วยความจำให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ถ้ามีการใช้ตัวแปรมากๆ แล้วไม่มีการคืนหน่วยความจำจะส่งผลให้หน่วยความจำเต็มและมีผลต่อการทำงานของระบบได้ mysql_free_result (int result); result หมายถึง ค่าที่ได้จากการใช้คำสั่งคิวรี เช่น 47. ฟังก์ชัน mysql_create_db() เป็นฟังก์ชันสำหรับสร้างฐานข้อมูลใหม่ mysql_create_db (string databasename, [int database_connect]); databasename คือ ชื่อฐานข้อมูลที่ต้องการสร้างใหม่ database_connect คือ ตัวแปรที่ใช้เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล จะกำหนดหรือไม่ก็ได้ 48. ฟังก์ชัน mysql_fetch_array() เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับดึงค่าผลลัพธ์ของฐานข้อมูลเก็บไว้ในอาร์เรย์ ผลลัพธ์ที่คืนออกมาจากฟังก์ชันนี้ จะเป็นข้อมูลอาร์เรย์ที่มีสมาชิกเท่ากับจำนวนคอลัมน์ของตาราง mysql_fetch_array (int result); จากการใช้ฟังก์ชันนี้ จะเป็นการอ่านค่าและถ่ายค่าลงตัวแปรอาร์เรย์ทีละ 1 รายการ หากเราต้องการแสดงค่าของข้อมูลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบทุกรายการที่มีในตารางผลลัพธ์ ก็จะต้องกำหนดคำสั่งให้วนรอบการทำงานของฟังก์ชัน เช่น 49. ฟังก์ชัน mysql_fetch_row() เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ข้อมูลไปยังเรคอร์ดถัดไป mysql_fetch_row (int result); ฟังก์ชัน mysql_num_fields() เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการหาจำนวนคอลัมน์ที่มีทั้งหมด mysql_num_fields (int result); ผลลัพธ์ที่คืนออกมากจากฟังก์ชันนี้ เป็นชนิดตัวเลข ได้แก่ จำนวนคอลัมน์ทั้งหมดของตาราง เช่น 50. ฟังก์ชัน mysql_num_rows() เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับคำนวณหาจำนวนแถวหรือจำนวนรายการทั้งหมด mysql_num_rows (int result); ผลลัพธ์ที่คืนออกมาจากฟังก์ชันนี้ เป็นข้อมูลชนิดตัวเลข ได้แก่ จำนวนรายการทั้งหมดของตารางผลลัพธ์ 51. การอัปโหลดเว็บเพจเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ต วิธีการคือ เมื่อสร้างเว็บเพจสำเร็จแล้ว ก็ถึงขั้นตอนของการนำเว็บเพจไปฝังหรือฝากไว้ที่คอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์ของ ISP ที่เราเป็นสมาชิกอยู่ หรืออาจจะมี Server เป็นของตัวเองเพื่อให้ทุกคนที่เป็นสมาชิกอินเตอร์เน็ตมองเห็นเว็บเพจของเรา ด้วยวิธีการ Upload หรือทำการ Transfer File ซึ่งการอัปโหลด (Upload) คือการก๊อปปี้ไฟล์จากเครื่องพีซีของเราไปไว้ที่เครื่อง Host โดยใช้ FTP (File Transfer Protocal) เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างเครื่องพีซีและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็น Host สำหรับเครื่องพีซีจะต้องติดตั้งซอฟแวร์ในการอัปโหลดไฟล์ จากนั้นก็ทำการอัปโหลดไฟล์ไปไว้ในไดเร็กทอรีของตัวเอง 52. ที่ หน้าจอด้านขวาจะเป็นส่วนของเซิร์ฟเวอร์ และทางซ้ายคือฝั่งพีซี การอัปโหลดไฟล์ทำได้โดยการเลือกไฟล์ที่ต้องการอัปโหลด แล้วคลิกที่รูปลูกศรชี้ขึ้นที่อยู่บนแถบเมนูบาร์หรือดับเบิ้ลคลิกไฟล์ที่ฝั่งพีซีหรือคลิกที่ไฟล์ แล้วลากเมาส์ไปยังด้านเซิร์ฟเวอร์ โปรแกรมจะรายงานผลการอัปโหลดในทุกระยะ จนกระทั่งการอัปโหลดเสร็จสมบูรณ์ และหากเราต้องการสร้างไดเร็กทอรี ก็สามารถทำได้โดยคลิกเมาส์ขวาที่ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ แล้วเลื่อนเมาส์ไปที่ Make new directory จะปรากฏหน้าจอ Create new dir ให้ใส่ชื่อไดเร็กทอรีใหม่ แล้วคลิก OK หากต้องการอัปโหลดไฟล์ไปไว้ในไดเร็กทอรีใหม่ ก็ดับเบิ้ลคลิกที่ชื่อไดเร็กทอรีที่สร้างไว้ แล้วอัปโหลดไฟล์ด้วยวิธีเดิม 53. การจัดสร้างไดเร็กทอรีเป็นเว็บเพจย่อย จากหลักการข้างต้นนี้ เราสามารถจัดสร้างไดเร็กทอรีย่อย เพื่อจัดสร้างเป็น URL ย่อยสำหรับการเรียกเข้าถึงโดยตรง เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดสร้างร้านค้าย่อยหรือสร้างเว็บเพจย่อย โดยไม่ต้องคีย์ชื่อไฟล์ ก็สามารถทำได้โดยกำหนดชื่อไฟล์ ไฟล์แรก ชื่อ index.html การตั้งชื่อเรียกอยู่ภายใต้ไดเร็กทอรี มีข้อดีในการนำมาใช้เรียกชื่อร้านค้าย่อยที่ร่วมอยู่ในห้างออนไลน์เดียวกัน ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีเพราะชื่อที่เรียกไม่ยาวจนเกินไป และเป็นการใช้ชื่อร่วมกันอันทำให้เกิดความมั่นใจต่อผู้ซื้อ อย่างไรก็ตาม หากจะให้มีชื่อเรียกเป็นของตนเอง โดยส่วนใหญ่ก็มักจะไปจดชื่อโดเมนเป็นของตนเอง ซึ่งชื่อเหล่านี้ถือเป็นตรายี่ห้อสินค้าอย่างหนึ่ง ทำให้กลุ่มเป้าหมายจดจำได้ง่าย และเมื่อมีชื่อเสียงก็สามารถกลายเป็นทรัพย์สินทางปัญญาอย่างหนึ่งด้วย