SlideShare a Scribd company logo
การใช้  PHP  เบื้องต้น
PHP ภาษาพีเอชพี ในชื่อภาษาอังกฤษว่า  PHP   ซึ่งก็คือ   P HP  H ypertext  P reprocessor  หรือชื่อเดิม  Personal Home Page
PHP  คืออะไร ภาษาคอมพิวเตอร์ ในลักษณะ เซิร์ฟเวอร์-ไซด์ สคริปต์  โดยลิขสิทธิ์อยู่ในลักษณะ โอเพนซอร์ส  ภาษาพีเอชพีใช้สำหรับจัดทำ เว็บไซต์  และแสดงผลออกมาในรูปแบบ  HTML   โดยมีรากฐานโครงสร้างคำสั่งมาจากภาษา  ภาษาซี   ภาษาจาวา  และ  ภาษาเพิร์ล  ซึ่ง ภาษาพีเอชพี นั้นง่ายต่อการเรียนรู้ ซึ่งเป้าหมายหลักของภาษานี้ คือให้นักพัฒนาเว็บไซต์สามารถเขียน  เว็บเพจ  ที่มีความตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างภาษาพีเอชพี <?php echo &quot;Hello, World!&quot;; ?>  <? echo &quot;Hello World.&quot;; ?>  <script language=&quot;php&quot;>  echo &quot;Hello World.&quot;;  </script>  <% echo &quot;Hello World.&quot;; %>
โครงสร้าง ควบคุมของ  PHP <?  for ($i = 0; $i < 10; $i++){  echo &quot;Test $i&quot;;  } ?>  โครงสร้าง ควบคุมของ  PHP  จะมีความคล้ายคลึงกับ  C/C++  มาก เช่น  if , for , switch  และมีบางส่วนที่คล้าย  Perl  สามารถกำหนดตัวแปรโดยไม่ต้อง นิยามก่อนได้
คุณสมบัติ การแสดงผลของพีเอชพี จะปรากฏในลักษณะ HTML   ซึ่งจะไม่แสดงคำสั่งที่ผู้ใช้เขียน ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่พีเอชพีแตกต่างจากภาษาในลักษณะ ไคลเอนต์-ไซด์ สคริปต์  เช่น  ภาษาจาวาสคริปต์  ที่ผู้ชมเว็บไซต์สามารถอ่าน ดูและคัดลอกคำสั่งไปใช้เองได้ นอกจากนี้พีเอชพียังเป็นภาษาที่เรียนรู้และเริ่มต้นได้ไม่ยาก โดยมีเครื่องมือช่วยเหลือและคู่มือที่สามารถหาอ่านได้ฟรีบนอินเทอร์เน็ต
ความสามารถการประมวลผลหลักของพีเอชพี การสร้างเนื้อหาอัตโนมัติจัดการคำสั่ง  การอ่านข้อมูลจากผู้ใช้และประมวลผล  การอ่านข้อมูลจาก ดาต้าเบส   ความสามารถจัดการกับ คุกกี้
การแสดงผลของพีเอชพี ถึงแม้ว่าจุดประสงค์หลักใช้ในการแสดงผล  HTML  แต่ยังสามารถสร้าง  XHTML   หรือ  XML   ได้ นอกจากนี้สามารถทำงานร่วมกับคำสั่งเสริมต่างๆ ซึ่งสามารถแสดงผลข้อมูลหลัก  PDF   แฟลช   ( โดยใช้  libswf  และ  Ming)  พีเอชพีมีความสามารถอย่างมากในการทำงานเป็นประมวลผลข้อความ จาก  POSIX Extended  หรือ รูปแบบ  Perl  ทั่วไป เพื่อแปลงเป็นเอกสาร  XML  ในการแปลงและเข้าสู่เอกสาร  XML  เรารองรับมาตราฐาน  SAX   และ  DOM   สามารถใช้รูปแบบ  XSLT   ของเราเพื่อแปลงเอกสาร  XML
การ รองรับพีเอชพี คำสั่งของพีเอชพี สามารถสร้างผ่านทางโปรแกรมแก้ไขข้อความทั่วไป เช่น  โน้ตแพด  หรือ  vi   ซึ่งทำให้การทำงานพีเอชพี สามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการหลักเกือบทั้งหมด
การประมวลผลคำสั่งพีเอชพี โดยเมื่อเขียนคำสั่งแล้วนำมาประมวลผล  	Apache ,  	Microsoft Internet Information Services (IIS)  , Personal Web Server,  Netscape  และ  iPlanet servers, Oreilly Website Pro server, Caudium, Xitami, OmniHTTPd,  และอื่นๆ อีกมากมาย
การทำงานร่วมกับฐานข้อมูล พีเอชพีสามารถทำงานร่วมกับฐานข้อมูลได้หลายชนิด ซึ่งฐานข้อมูลส่วนหนึ่งที่รองรับได้แก่  ออราเคิล   dBase   PostgreSQL   IBM DB2   MySQL   Informix   ODBC   โครงสร้างของฐานข้อมูลแบบ  DBX   ซึ่งทำให้พีเอชพีใช้กับฐานข้อมูลอะไรก็ได้ที่รองรับรูปแบบนี้ และ  PHP  ยังรองรับ  ODBC  (Open Database Connection)  ซึ่งเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อฐานข้อมูลที่ใช้กันแพร่หลายอีกด้วย คุณสามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลต่างๆ ที่รองรับมาตรฐานโลกนี้ได้
การรองรับการสื่อสารกับการบริการ พีเอชพียังสามารถรองรับการสื่อสารกับการบริการใน โพรโทคอล ต่างๆ เช่น  LDAP   IMAP   SNMP   NNTP   POP3   HTTP   COM  ( บนวินโดวส์ )  และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งสามารถเปิด  Socket  บนเครื่อข่ายโดยตรง และ ตอบโต้โดยใช้ โพรโทคอลใดๆ ก็ได้  PHP  มีการรองรับสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ  WDDX Complex  กับ  Web Programming  อื่นๆ ทั่วไปได้ พูดถึงในส่วน  Interconnection,  พีเอชพีมีการรองรับสำหรับ  Java objects  ให้เปลี่ยนมันเป็น  PHP Object  แล้วใช้งาน คุณยังสามารถใช้รูปแบบ  CORBA   เพื่อเข้าสู่  Remote Object  ได้เช่นกัน
โปรแกรม ที่ใช้พีเอชพีเป็นโครงสร้างหลัก จูมลา ดรูปัล พีเอชพีบีบี มีเดียวิกิ แมมโบ (ซอฟต์แวร์)
การเขียนภาษา  PHP   สำหรับการเขียนก็จะอาศัยโปรแกรมประเภท  text editor  ทั่วไป เช่น ใช้โปรแกรม  NotePad  ในระบบ  windows  เป็นต้น แต่ที่นี้จะใช้โปรแกรม  EditPlus โครงสร้างพื้นฐาน ที่กล่าวไปแล้วว่า  PHP  สามารถใช้ร่วมกับ  HTML  ได้ทันทีนั้น เราจะมีสัญลักษณ์พิเศษที่แยก  PHP  ออกจาก  HTML แบบที่  1   เปิดด้วยแท็ก   <?  และ ปิดด้วย  ?>  ภายใต้แท็ก   <?…?>  นั้นจะเป็น  PHP  ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น
แบบที่  2   เปิดด้วยแท็ก   <?php  และ ปิดด้วย  ?>  ภายใต้แท็ก   <?…?>  นั้นจะเป็น  PHP  ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น แบบที่  3   เปิดด้วยแท็ก   <script language=”php”>  และ ปิดด้วย   </script>  ภายใต้สคริปต์นั้นจะเป็น  PHP  ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น   แบบที่  4   เปิดด้วยแท็ก   <%  และ ปิดด้วย  % >  ภายใต้สคริปต์นั้นจะเป็น  PHP  ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น
การเขียน  Comment   ในการเขียนโปรแกรมใดๆ ก็ตามโดยเฉพาะระบบโปรแกรมใหญ่ๆ ส่วนจะหลงลืม หรือจำไม่ได้ว่า แต่ละส่วนเขียนไปเพื่ออะไร จึงควรใส่หมายเหตุของโปรแกรมลงไปด้วย สำหรับ  PHP  นั้นใช้สัญลักษณ์  //  และ  #  เพื่อบอกโปรแกรมว่า ไม่ต้องประมวลผล ในส่วนนั้นๆ  ตัวอย่าง
การแสดงข้อความออกทาง  Browser   ในการแสดงผลได้  2  คำสั่งคือ  echo  และ  print  ซึ่งสามารถใช้แทนกันได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยน  syntax  ใดๆอีก   ผลที่ได้  :
การใช้ตัวแปรในภาษา  PHP สำหรับการเขียนโปรแกรมสำหรับภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง สิ่งที่จะขาดเสียมิได้คือ การกำหนดและใช้ตัวแปร  ( variable)  ตัวแปรในภาษา  PHP  จะเหมือนกับในภาษา  Perl  คือเริ่มต้นด้วยเครื่องหมาย  dollar ($)  โดยเราไม่จำเป็นต้องกำหนดแบบของข้อมูล  ( data type)  อย่างเจาะจงเหมือนในภาษาซี เพราะว่า ตัวแปลภาษาจะจำแนกเองโดยอัตโนมัติว่า ตัวแปรดังกล่าว ใช้ข้อมูลแบบใด ในช่วงเวลานั้นๆ เช่น ข้อความ จำนวนเต็ม จำนวนที่มีเลขจุดทศนิยมตรรก เป็นต้น ตัวอย่างการใช้งาน เช่น
ถ้าเราต้องการจะแสดงค่าของตัวแปร ก็อาจจะใช้คำสั่ง  echo  ได้ ตัวอย่างเช่น
คำสั่งใส่รูปภาพลงเว็บเพจ เราสามารถใช้คำสั่งแสดงรูปภาพที่เราต้องให้ปรากฏบนเว็บเพจเราได้ด้วยการใช้คำสั่ง  <IMG SRC=\&quot; ชื่อไฟล์ . gif  หรือ . jpg\&quot;>  โดยจะต้องมีการใช้  \  ด้วย เช่น
โดยมีคำสั่งในเพิ่มเติมในการแสดงภาพ ดังนี้ การกำหนดขนาดรูปภาพ ให้ตรงกับความต้องการ  WIDTH  หมายถึง ความกว้างของรูปภาพ และ HEIGHT  หมายถึง ความสูงของรูปภาพ  <IMG SRC= \“picture.gif\” WIDTH=number% | HEIGHT=number%>  การกำหนดกรอบให้กับรูปภาพ   <BORDER=n> การวางตำแหน่งรูปภาพ   แบบแนวนอน ประกอบด้วย  LEFT | RIGHT  แบบแนวตั้ง ประกอบด้วย เสมอบน มี  2  คำสั่ง คือ  TOP | TEXTTOP  กึ่งกลาง มี  2  คำสั่ง คือ  MIDDLE | ABSMIDDLE  เสมอล่าง มี  3  คำสั่ง คือ  BASELINE | BOTTOM | ABSBOTTOM
ชนิดของข้อมูล Integers   ใช้สำหรับเก็บข้อมูลจำนวนเต็มทั้งจำนวนเต็มบวกและจำนวนเต็มลบ รวมทั้งแสดงค่าเป็น เลขฐานสิบ  (0-9)  ฐานแปด  (0-7)  และเลขฐานสิบหก  (0-9,  A-F  หรือ  a-f )  โดยที่เลขฐานแปดจะขึ้นต้นด้วย  0  และเลขฐานสิบหกจะขึ้นต้นด้วย  0x  หรือ  0X  มีค่าได้ทั้งบวกและลบ
Floating point   ใช้สำหรับเก็บข้อมูลจำนวนจริงบวกและลบ จะมีทศนิยมหรือไม่มีก็ได้และรูปแบบยกกำลัง String   ใช้เก็บข้อมูลที่เป็นข้อความ รวมทั้งตัวเลข  ( ไม่สามารถนำไปคำนวณได้ ) รหัสควบคุมพิเศษต่างๆ
Array  ข้อมูลแบบนี้เป็นการเก็บข้อมูลเป็นชุดๆ แต่ละชุดมีสมาชิกเป็นของตัวเองจะมีมากน้อยแค่ไหนก็ได้ ทำให้มีความคล่องตัวในการใช้งานมากขึ้น การสร้างตัวแปรอาเรย์จะใช้ฟังก์ชัน  array()  Object   เป็นการเขียนชุดคำสั่งเพื่อเก็บข้อมูลในลักษณะออปเจกต์ เพื่อการเรียกใช้  Class Object  หรือ  Function  ผลลัพธ์ที่ได้คือข้อความว่า  Hello World ในการเรียกใช้ฟังก์ชันที่อยู่ภายใน  Class  จะใช้เครื่องหมาย  - >  เป็นการอ้างอิง
ตัวดำเนินการ หรือ  Operator ในภาษา  PHP  มี  Operator  ต่างๆ ให้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นโอเปอเรเตอร์ทางคณิตศาสตร์ โอเปอเรเตอร์เชิงตรรกะ เช่นเดียวดับภาษาอื่นดังนี้
 
การใช้เงื่อนไข ( condition)  เพื่อการตัดสินใจ การใช้  IF...ELSE Condition   เป็นการกำหนดเงื่อนไขที่ธรรมดาที่สุด คือกำหนดเงื่อนไข แล้วโปรแกรมตรวจสอบเงื่อนไขนั้น ถ้าเงื่อนไขนั้นเป็นจริงก็จะทำตามคำสั่งที่กำหนด ถ้าเป็นเท็จก็จะไม่ทำ ผลที่ได้  :  Summation =  10
การใช้  Switch…Case   ในบางครั้งในการกำหนดทางเลือกของโปรแกรมโดยการใช้  If…Else  อาจจะทำให้เขียนโปรแกรมยาวและทำความเข้าใจยาก ดังนั้นเราอาจใช้  Switch  แทนซึ่งเขียนโปรแกรมง่ายกว่าและมีความกระชับมากกว่า  ผลที่ได้  :  i equals  2
การวนลูป การใช้  While Loop   คำสั่ง  while  จะทำงานโดยการตรวจสอบเงื่อนไขก่อน ถ้าเงื่อนไขเป็นจริงก็จะทำตามคำสั่ง ผลที่ได้  : 12345
Do while   เป็นคำสั่งที่คล้ายกับ  While Loop  แต่ต่างกันที่  Do while   นั้นจะทำงานโดยการตรวจสอบเงื่อนไขภายหลังจากการทำงานไปแล้วแต่  While   นั้นจะตรวจสอบเงื่อนไขก่อนการทำงาน  ผลที่ได้  : 5 กรณีที่ใช้  While...Loop  จะทำการตรวจสอบเงื่อนไขก่อน แล้วจึงค่อยทำในลูป กรณีที่ใช้  Do...Loop  จะทำคำสั่งในลูปก่อน แล้วจึงค่อยตรวจสอบเงื่อนไข
For Loop   คำสั่งนี้จะทำหน้าที่สั่งให้โปรแกรมทำงานวนรอบตามต้องการ ซึ่งกำหนดเป็นเงื่อนไข โดยจะทำเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง และจะมีลักษณะการวนรอบที่รู้จำนวนรอบที่แน่นอน  ผลที่ได้  : 12345
Foreach   เป็นการทำงานในลักษณะวนรอบที่ทำงานกับตัวแปรอาร์เรย์ โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลทั่วไป โดย  $Value  เป็นตัวกำหนดค่าให้กับ  array expression  โดยพอยน์เตอร์จะเลื่อนไปตามสมาชิดถัดไปของอาร์เรย์ตามการเปลี่ยนแปลงรอบที่เปลี่ยนไป
การใช้  break  และ  continue  ภายในลูป คำสั่ง  break  เป็นคำสั่งจะใช้เพื่อให้หยุดการทำงาน จากการใช้คำสั่งเพื่อวนรอบที่ผ่านมาจะเห็นว่าจะออกจากการวนรอบเมื่อสิ้นสุดการทำงานแล้วเท่านั้น แต่ถ้าต้องการให้หยุดทำงานกะทันหัน สามารถใช้คำสั่ง  break  ก็ได้ คำสั่ง  continue  เป็นคำสั่งที่ทำงานตรงข้ามกับคำสั่ง  break  คือ จะสั่งให้โปรแกรมทำงานต่อไป ถ้าใช้คำสั่ง  Continue  กับ  For  เมื่อพบคำสั่งนี้จะเป็นการสั่งให้กลับไปเพิ่มค่าให้กับตัวแปรทันที หรือถ้าใช้กับคำสั่ง  While  เมื่อพบคำสั่งนี้จะเป็นการสั่งให้กลับไปทดสอบเงื่อนไขใหม่ทันที
ผลที่ได้  : Blue คำสั่ง  continue  บังคับให้ไปเริ่มต้นทำขั้นตอนในการวนลูปครั้งต่อไป ส่วน  break  นั้นส่งผลให้หยุดการทำงานของลูป
การใช้คำสั่ง  include  และ  require คำสั่งทั้งสองเอาไว้แทรกเนื้อหาจากไฟล์อื่นที่ต้องการ ข้อแตกต่างระหว่าง  include  และ  require  อยู่ตรงที่ว่า ในกรณีของการแทรกไฟล์ใช้ชื่อต่างๆ กันมากกว่าหนึ่งครั้งโดยใช้ลูป    คำสั่ง  require  จะอ่านเพียงแค่ครั้งเดียว คือไฟล์แรก และจะแทรกไฟล์นี้เท่านั้นไปตามจำนวนครั้งที่วนลูป ในขณะที่  include  สามารถอ่านได้ไฟล์ต่างๆ กันตามจำนวนครั้งที่ต้องการ
การใช้งาน  MySQL   การสร้างฐานข้อมูล ในการสร้างฐานข้อมูลของ  MySQL  สามารถสร้างผ่าน  phpMyAdmin  ได้เลย โดยการเลือก  Internet Explorer  ขึ้นมาพิมพ์  127.0.0.1  ที่  address bar  จะได้หน้าต่างดังนี้
ชนิดของข้อมูลใน  MySQL ชนิดของข้อมูลพื้นฐาน มี  3  ชนิด คือ ตัวเลข ,  วันที่เวลา และตัวอักษร แต่ละชนิดจะมีขนาดไม่เท่ากัน ดังนั้น เมื่อกำหนดคอลัมน์หรือฟิลด์ข้อมูลในตารางบนฐานข้อมูล จะต้องคำนึงถึงชนิดของข้อมูลด้วย เพื่อความเหมาะสมของข้อมูล โดยข้อมูลแต่ละชนิดมีรายละเอียดดังนี้ ชนิดตัวเลข  แบ่งได้เป็น เลขจำนวนเต็มและเลขจำนวนจริง ตารางแสดงชนิดของตัวเลขจำนวนเต็ม
ตารางแสดงชนิดของเลขจำนวนจริง ชนิดวันที่และวันเวลา ตารางแสดงชนิดวันที่และเวลา
ชนิดตัวอักษร ตารางแสดงชนิดของสตริง
ฟังก์ชันในการจัดการฐานข้อมูลใน  MySQL การเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล   ในการติดต่อกับฐานข้อมูลจะต้องทำหารเปิดการติดต่อดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์ก่อน โดยมีรูปแบบการใช้งานดังนี้ mysql_connect (hostname, username, password);  hostname  คือ ชื่อของดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์  ในการที่ติดตั้ง  MySQL  ไว้ในเครื่องเดียวกับเว็บเซิร์เวอร์ ก็สามารถระบุเป็น  localhost  แทนชื่อจริงได้เลย username  คือ ชื่อผู้ใช้ที่ถูกกำหนดให้สามารถทำงานกับ  MySQL  ได้ password  คือ รหัสผ่านของผู้ใช้ หรือจะระบุหรือไม่ก็ได้
ค่าที่คืนออกมาจากการเรียกใช้ฟังก์ชันนี้จะได้ค่าเป็นจริงหากสามารถติดต่อกับ  MySQL  ได้สำเร็จแต่ถ้าไม่สามารถติดต่อได้หรือติดต่อไม่สำเร็จจะมีค่าเป็นเท็จ เช่น
การยกเลิกการเชื่อมต่อ   ฟังก์ชันที่ใช้ในการยกเลิกหรือปิดการติดต่อดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์  mysql_close (database_connect); โดยผลลัพธ์ที่คืนออกมาจากฟังก์ชันนี้ ถ้าปิดการติดต่อกับ  MySQL  ได้สำเร็จก็จะมีค่าเป็นจริง ถ้าไม่สำเร็จจะมีค่าเป็นเท็จ เช่น
การเรียกใช้ฐานข้อมูลผ่านเว็บ ก่อนการเรียกใช้ฟังก์ชันนี้ จะต้องมีการเรียกใช้ฟังก์ชัน  mysql_connect   เพื่อกำหนดฐานข้อมูลที่จะเชื่อมต่อเสียก่อน  mysql_select_db (string databasename); Databasename  คือ ชื่อของฐานข้อมูล เช่น
การนำภาษา  SQL  มาใช้ในฐานข้อมูล   MySQL ฟังก์ชัน  mysql_query() เป็นฟังก์ชันสำหรับสั่งงาน  MySQL  ด้วยภาษา  SQL  เพื่อจัดการกับข้อมูลในฐานข้อมูล เช่น การเพิ่ม การลบ เป็นต้น ต้องใช้กับฟังก์ชัน  mysql_select_db() mysql_query (string query, [database_connect]); query  หมายถึง คิวรีที่เรียกใช้ฐานข้อมูล database_connect   หมายถึง ตัวแปรที่ใช้เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล จะกำหนดหรือไม่ก็ได้ เช่น
ฟังก์ชัน  mysql_db_query() เป็นฟังก์ชันสำหรับสั่งงาน  MySQL  ด้วยภาษา  SQL  เพื่อจัดการกับข้อมูลในฐานข้อมูลเหมือนกับฟังก์ชัน  mysql_query  แต่ไม่ต้องใช้ร่วมกับฟังก์ชัน  mysql_select_db() เพราะสามารถกำหนดชื่อฐานข้อมูลไว้ในฟังก์ชันได้เลย mysql_db_query (string databasename, string query); เช่น
ฟังก์ชัน  mysql_free_result() เป็นฟังก์ชันสำหรับคืนหน่วยความจำให้กับระบบ เพื่อใช้หน่วยความจำให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ถ้ามีการใช้ตัวแปรมากๆ แล้วไม่มีการคืนหน่วยความจำจะส่งผลให้หน่วยความจำเต็มและมีผลต่อการทำงานของระบบได้   mysql_free_result (int result); result  หมายถึง ค่าที่ได้จากการใช้คำสั่งคิวรี เช่น
ฟังก์ชัน  mysql_create_db() เป็นฟังก์ชันสำหรับสร้างฐานข้อมูลใหม่ mysql_create_db (string databasename, [int database_connect]); databasename  คือ ชื่อฐานข้อมูลที่ต้องการสร้างใหม่ database_connect   คือ ตัวแปรที่ใช้เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล จะกำหนดหรือไม่ก็ได้
ฟังก์ชัน  mysql_fetch_array() เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับดึงค่าผลลัพธ์ของฐานข้อมูลเก็บไว้ในอาร์เรย์ ผลลัพธ์ที่คืนออกมาจากฟังก์ชันนี้ จะเป็นข้อมูลอาร์เรย์ที่มีสมาชิกเท่ากับจำนวนคอลัมน์ของตาราง   mysql_fetch_array (int result); จากการใช้ฟังก์ชันนี้ จะเป็นการอ่านค่าและถ่ายค่าลงตัวแปรอาร์เรย์ทีละ  1  รายการ หากเราต้องการแสดงค่าของข้อมูลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบทุกรายการที่มีในตารางผลลัพธ์ ก็จะต้องกำหนดคำสั่งให้วนรอบการทำงานของฟังก์ชัน เช่น
ฟังก์ชัน  mysql_fetch_row() เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ข้อมูลไปยังเรคอร์ดถัดไป   mysql_fetch_row (int result); ฟังก์ชัน  mysql_num_fields() เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการหาจำนวนคอลัมน์ที่มีทั้งหมด   mysql_num_fields (int result); ผลลัพธ์ที่คืนออกมากจากฟังก์ชันนี้ เป็นชนิดตัวเลข ได้แก่ จำนวนคอลัมน์ทั้งหมดของตาราง เช่น
ฟังก์ชัน  mysql_num_rows() เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับคำนวณหาจำนวนแถวหรือจำนวนรายการทั้งหมด   mysql_num_rows (int result); ผลลัพธ์ที่คืนออกมาจากฟังก์ชันนี้ เป็นข้อมูลชนิดตัวเลข ได้แก่ จำนวนรายการทั้งหมดของตารางผลลัพธ์
การอัปโหลดเว็บเพจเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ต   วิธีการคือ เมื่อสร้างเว็บเพจสำเร็จแล้ว ก็ถึงขั้นตอนของการนำเว็บเพจไปฝังหรือฝากไว้ที่คอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์ของ  ISP   ที่เราเป็นสมาชิกอยู่ หรืออาจจะมี  Server  เป็นของตัวเองเพื่อให้ทุกคนที่เป็นสมาชิกอินเตอร์เน็ตมองเห็นเว็บเพจของเรา ด้วยวิธีการ  Upload  หรือทำการ  Transfer File  ซึ่งการอัปโหลด  (Upload)   คือการก๊อปปี้ไฟล์จากเครื่องพีซีของเราไปไว้ที่เครื่อง  Host  โดยใช้  FTP (File Transfer Protocal)  เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างเครื่องพีซีและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็น  Host   สำหรับเครื่องพีซีจะต้องติดตั้งซอฟแวร์ในการอัปโหลดไฟล์ จากนั้นก็ทำการอัปโหลดไฟล์ไปไว้ในไดเร็กทอรีของตัวเอง
ที่ หน้าจอด้านขวาจะเป็นส่วนของเซิร์ฟเวอร์ และทางซ้ายคือฝั่งพีซี การอัปโหลดไฟล์ทำได้โดยการเลือกไฟล์ที่ต้องการอัปโหลด แล้วคลิกที่รูปลูกศรชี้ขึ้นที่อยู่บนแถบเมนูบาร์หรือดับเบิ้ลคลิกไฟล์ที่ฝั่งพีซีหรือคลิกที่ไฟล์ แล้วลากเมาส์ไปยังด้านเซิร์ฟเวอร์ โปรแกรมจะรายงานผลการอัปโหลดในทุกระยะ จนกระทั่งการอัปโหลดเสร็จสมบูรณ์ และหากเราต้องการสร้างไดเร็กทอรี ก็สามารถทำได้โดยคลิกเมาส์ขวาที่ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ แล้วเลื่อนเมาส์ไปที่  Make new directory   จะปรากฏหน้าจอ  Create new dir  ให้ใส่ชื่อไดเร็กทอรีใหม่ แล้วคลิก  OK  หากต้องการอัปโหลดไฟล์ไปไว้ในไดเร็กทอรีใหม่ ก็ดับเบิ้ลคลิกที่ชื่อไดเร็กทอรีที่สร้างไว้ แล้วอัปโหลดไฟล์ด้วยวิธีเดิม
การจัดสร้างไดเร็กทอรีเป็นเว็บเพจย่อย   จากหลักการข้างต้นนี้ เราสามารถจัดสร้างไดเร็กทอรีย่อย เพื่อจัดสร้างเป็น  URL  ย่อยสำหรับการเรียกเข้าถึงโดยตรง เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดสร้างร้านค้าย่อยหรือสร้างเว็บเพจย่อย โดยไม่ต้องคีย์ชื่อไฟล์ ก็สามารถทำได้โดยกำหนดชื่อไฟล์ ไฟล์แรก ชื่อ  index.html  การตั้งชื่อเรียกอยู่ภายใต้ไดเร็กทอรี มีข้อดีในการนำมาใช้เรียกชื่อร้านค้าย่อยที่ร่วมอยู่ในห้างออนไลน์เดียวกัน ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีเพราะชื่อที่เรียกไม่ยาวจนเกินไป และเป็นการใช้ชื่อร่วมกันอันทำให้เกิดความมั่นใจต่อผู้ซื้อ อย่างไรก็ตาม หากจะให้มีชื่อเรียกเป็นของตนเอง โดยส่วนใหญ่ก็มักจะไปจดชื่อโดเมนเป็นของตนเอง ซึ่งชื่อเหล่านี้ถือเป็นตรายี่ห้อสินค้าอย่างหนึ่ง ทำให้กลุ่มเป้าหมายจดจำได้ง่าย และเมื่อมีชื่อเสียงก็สามารถกลายเป็นทรัพย์สินทางปัญญาอย่างหนึ่งด้วย

More Related Content

PDF
C lu
PPTX
คลาสและการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุเบื้องต้น 1
PPTX
โครงสร้างการเขียนโปรแกรมภาษาไพธอน
PPTX
Python programmingggg
PPTX
Lab Computer Programming 1
DOC
การเขียนคำสั่งควบคุมขั้นพื้นฐาน
PDF
การเขียนคำสั่งขั้นพื้นฐาน(ภาษาC)
PDF
บทที่ 2 ตัวแปร
C lu
คลาสและการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุเบื้องต้น 1
โครงสร้างการเขียนโปรแกรมภาษาไพธอน
Python programmingggg
Lab Computer Programming 1
การเขียนคำสั่งควบคุมขั้นพื้นฐาน
การเขียนคำสั่งขั้นพื้นฐาน(ภาษาC)
บทที่ 2 ตัวแปร

What's hot (20)

PDF
การเขียนฟังก์ชั่นในภาษา C
PDF
ใบความรู้ที่ 1 ความรู้พื้นฐานโปรแกรมภาษาซี
PDF
ภาษา C#
PDF
Javacentrix com chap05-0
PDF
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาPhp
DOCX
ชื่อนางสาวรัตนาวดี   ติมุลา   รหัสนิสิต 59670107   กลุ่ม 3301
DOCX
ชื่อนางสาวรัตนาวดี   ติมุลา   รหัสนิสิต 59670107 กลุ่ม 3301  
DOCX
ชื่อนางสาวรัตนาวลี     ติมุลา    รหัสนิสิต 59670108  กลุ่ม 3301
PDF
บทที่1 พื้นฐานโปรแกรมภาษาซี
DOC
ตัวแปรในภาษาซี
DOCX
ชื่อนางสาวอรยา กรดเครือ รหัสนิสิต 59670118 กลุ่ม 3301
PDF
การเขียนโปรแกรม Dev c++
PDF
ภาษาC & mathlab
PPT
Session1 part2
ODP
Python Course #1
PDF
เนื้อหา Html
PDF
การประกาศตัวแปรในภาษาซี
DOC
การเขียนโปรแกรมภาษาซี
PPTX
Hyper text markup language
การเขียนฟังก์ชั่นในภาษา C
ใบความรู้ที่ 1 ความรู้พื้นฐานโปรแกรมภาษาซี
ภาษา C#
Javacentrix com chap05-0
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาPhp
ชื่อนางสาวรัตนาวดี   ติมุลา   รหัสนิสิต 59670107   กลุ่ม 3301
ชื่อนางสาวรัตนาวดี   ติมุลา   รหัสนิสิต 59670107 กลุ่ม 3301  
ชื่อนางสาวรัตนาวลี     ติมุลา    รหัสนิสิต 59670108  กลุ่ม 3301
บทที่1 พื้นฐานโปรแกรมภาษาซี
ตัวแปรในภาษาซี
ชื่อนางสาวอรยา กรดเครือ รหัสนิสิต 59670118 กลุ่ม 3301
การเขียนโปรแกรม Dev c++
ภาษาC & mathlab
Session1 part2
Python Course #1
เนื้อหา Html
การประกาศตัวแปรในภาษาซี
การเขียนโปรแกรมภาษาซี
Hyper text markup language
Ad

Similar to Php beginner (20)

PPT
เริ่มต้นกับ PHP
PPTX
Presentation1
PPT
PHP Tutorial (introduction)
DOC
งานครูปลาม์
PDF
คณิศร บุตรดีไชย
PDF
Introduction to PHP programming
PPT
การพัฒนาเอกสารออนไลน์ขั้นสูง Lect 05
PDF
รายงาน PHP - Know2pro.com
PDF
ใบงานที่5
PDF
ใบงานที่5555
PDF
ใบงานที่5555
PDF
(Php basic 1 [โหมดความเข้ากันได้])
PPT
Ppt Moodle
PDF
Php พื้นฐาน ตอนที่4
PPT
การพัฒนาโปรแกรม วิชญา
PPTX
คลาสและการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุเบื้องต้น
PPT
การพัฒนาโปรแกรม วิชญา เลขที่ 26.2
เริ่มต้นกับ PHP
Presentation1
PHP Tutorial (introduction)
งานครูปลาม์
คณิศร บุตรดีไชย
Introduction to PHP programming
การพัฒนาเอกสารออนไลน์ขั้นสูง Lect 05
รายงาน PHP - Know2pro.com
ใบงานที่5
ใบงานที่5555
ใบงานที่5555
(Php basic 1 [โหมดความเข้ากันได้])
Ppt Moodle
Php พื้นฐาน ตอนที่4
การพัฒนาโปรแกรม วิชญา
คลาสและการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุเบื้องต้น
การพัฒนาโปรแกรม วิชญา เลขที่ 26.2
Ad

Php beginner

  • 1. การใช้ PHP เบื้องต้น
  • 2. PHP ภาษาพีเอชพี ในชื่อภาษาอังกฤษว่า PHP ซึ่งก็คือ P HP H ypertext P reprocessor หรือชื่อเดิม Personal Home Page
  • 3. PHP คืออะไร ภาษาคอมพิวเตอร์ ในลักษณะ เซิร์ฟเวอร์-ไซด์ สคริปต์ โดยลิขสิทธิ์อยู่ในลักษณะ โอเพนซอร์ส ภาษาพีเอชพีใช้สำหรับจัดทำ เว็บไซต์ และแสดงผลออกมาในรูปแบบ HTML โดยมีรากฐานโครงสร้างคำสั่งมาจากภาษา ภาษาซี ภาษาจาวา และ ภาษาเพิร์ล ซึ่ง ภาษาพีเอชพี นั้นง่ายต่อการเรียนรู้ ซึ่งเป้าหมายหลักของภาษานี้ คือให้นักพัฒนาเว็บไซต์สามารถเขียน เว็บเพจ ที่มีความตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว
  • 4. ตัวอย่างภาษาพีเอชพี <?php echo &quot;Hello, World!&quot;; ?> <? echo &quot;Hello World.&quot;; ?> <script language=&quot;php&quot;> echo &quot;Hello World.&quot;; </script> <% echo &quot;Hello World.&quot;; %>
  • 5. โครงสร้าง ควบคุมของ PHP <? for ($i = 0; $i < 10; $i++){ echo &quot;Test $i&quot;; } ?> โครงสร้าง ควบคุมของ PHP จะมีความคล้ายคลึงกับ C/C++ มาก เช่น if , for , switch และมีบางส่วนที่คล้าย Perl สามารถกำหนดตัวแปรโดยไม่ต้อง นิยามก่อนได้
  • 6. คุณสมบัติ การแสดงผลของพีเอชพี จะปรากฏในลักษณะ HTML ซึ่งจะไม่แสดงคำสั่งที่ผู้ใช้เขียน ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่พีเอชพีแตกต่างจากภาษาในลักษณะ ไคลเอนต์-ไซด์ สคริปต์ เช่น ภาษาจาวาสคริปต์ ที่ผู้ชมเว็บไซต์สามารถอ่าน ดูและคัดลอกคำสั่งไปใช้เองได้ นอกจากนี้พีเอชพียังเป็นภาษาที่เรียนรู้และเริ่มต้นได้ไม่ยาก โดยมีเครื่องมือช่วยเหลือและคู่มือที่สามารถหาอ่านได้ฟรีบนอินเทอร์เน็ต
  • 7. ความสามารถการประมวลผลหลักของพีเอชพี การสร้างเนื้อหาอัตโนมัติจัดการคำสั่ง การอ่านข้อมูลจากผู้ใช้และประมวลผล การอ่านข้อมูลจาก ดาต้าเบส ความสามารถจัดการกับ คุกกี้
  • 8. การแสดงผลของพีเอชพี ถึงแม้ว่าจุดประสงค์หลักใช้ในการแสดงผล HTML แต่ยังสามารถสร้าง XHTML หรือ XML ได้ นอกจากนี้สามารถทำงานร่วมกับคำสั่งเสริมต่างๆ ซึ่งสามารถแสดงผลข้อมูลหลัก PDF แฟลช ( โดยใช้ libswf และ Ming) พีเอชพีมีความสามารถอย่างมากในการทำงานเป็นประมวลผลข้อความ จาก POSIX Extended หรือ รูปแบบ Perl ทั่วไป เพื่อแปลงเป็นเอกสาร XML ในการแปลงและเข้าสู่เอกสาร XML เรารองรับมาตราฐาน SAX และ DOM สามารถใช้รูปแบบ XSLT ของเราเพื่อแปลงเอกสาร XML
  • 9. การ รองรับพีเอชพี คำสั่งของพีเอชพี สามารถสร้างผ่านทางโปรแกรมแก้ไขข้อความทั่วไป เช่น โน้ตแพด หรือ vi ซึ่งทำให้การทำงานพีเอชพี สามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการหลักเกือบทั้งหมด
  • 10. การประมวลผลคำสั่งพีเอชพี โดยเมื่อเขียนคำสั่งแล้วนำมาประมวลผล Apache , Microsoft Internet Information Services (IIS) , Personal Web Server, Netscape และ iPlanet servers, Oreilly Website Pro server, Caudium, Xitami, OmniHTTPd, และอื่นๆ อีกมากมาย
  • 11. การทำงานร่วมกับฐานข้อมูล พีเอชพีสามารถทำงานร่วมกับฐานข้อมูลได้หลายชนิด ซึ่งฐานข้อมูลส่วนหนึ่งที่รองรับได้แก่ ออราเคิล dBase PostgreSQL IBM DB2 MySQL Informix ODBC โครงสร้างของฐานข้อมูลแบบ DBX ซึ่งทำให้พีเอชพีใช้กับฐานข้อมูลอะไรก็ได้ที่รองรับรูปแบบนี้ และ PHP ยังรองรับ ODBC (Open Database Connection) ซึ่งเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อฐานข้อมูลที่ใช้กันแพร่หลายอีกด้วย คุณสามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลต่างๆ ที่รองรับมาตรฐานโลกนี้ได้
  • 12. การรองรับการสื่อสารกับการบริการ พีเอชพียังสามารถรองรับการสื่อสารกับการบริการใน โพรโทคอล ต่างๆ เช่น LDAP IMAP SNMP NNTP POP3 HTTP COM ( บนวินโดวส์ ) และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งสามารถเปิด Socket บนเครื่อข่ายโดยตรง และ ตอบโต้โดยใช้ โพรโทคอลใดๆ ก็ได้ PHP มีการรองรับสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ WDDX Complex กับ Web Programming อื่นๆ ทั่วไปได้ พูดถึงในส่วน Interconnection, พีเอชพีมีการรองรับสำหรับ Java objects ให้เปลี่ยนมันเป็น PHP Object แล้วใช้งาน คุณยังสามารถใช้รูปแบบ CORBA เพื่อเข้าสู่ Remote Object ได้เช่นกัน
  • 13. โปรแกรม ที่ใช้พีเอชพีเป็นโครงสร้างหลัก จูมลา ดรูปัล พีเอชพีบีบี มีเดียวิกิ แมมโบ (ซอฟต์แวร์)
  • 14. การเขียนภาษา PHP สำหรับการเขียนก็จะอาศัยโปรแกรมประเภท text editor ทั่วไป เช่น ใช้โปรแกรม NotePad ในระบบ windows เป็นต้น แต่ที่นี้จะใช้โปรแกรม EditPlus โครงสร้างพื้นฐาน ที่กล่าวไปแล้วว่า PHP สามารถใช้ร่วมกับ HTML ได้ทันทีนั้น เราจะมีสัญลักษณ์พิเศษที่แยก PHP ออกจาก HTML แบบที่ 1 เปิดด้วยแท็ก <? และ ปิดด้วย ?> ภายใต้แท็ก <?…?> นั้นจะเป็น PHP ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น
  • 15. แบบที่ 2 เปิดด้วยแท็ก <?php และ ปิดด้วย ?> ภายใต้แท็ก <?…?> นั้นจะเป็น PHP ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น แบบที่ 3 เปิดด้วยแท็ก <script language=”php”> และ ปิดด้วย </script> ภายใต้สคริปต์นั้นจะเป็น PHP ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น แบบที่ 4 เปิดด้วยแท็ก <% และ ปิดด้วย % > ภายใต้สคริปต์นั้นจะเป็น PHP ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น
  • 16. การเขียน Comment ในการเขียนโปรแกรมใดๆ ก็ตามโดยเฉพาะระบบโปรแกรมใหญ่ๆ ส่วนจะหลงลืม หรือจำไม่ได้ว่า แต่ละส่วนเขียนไปเพื่ออะไร จึงควรใส่หมายเหตุของโปรแกรมลงไปด้วย สำหรับ PHP นั้นใช้สัญลักษณ์ // และ # เพื่อบอกโปรแกรมว่า ไม่ต้องประมวลผล ในส่วนนั้นๆ ตัวอย่าง
  • 17. การแสดงข้อความออกทาง Browser ในการแสดงผลได้ 2 คำสั่งคือ echo และ print ซึ่งสามารถใช้แทนกันได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยน syntax ใดๆอีก ผลที่ได้ :
  • 18. การใช้ตัวแปรในภาษา PHP สำหรับการเขียนโปรแกรมสำหรับภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง สิ่งที่จะขาดเสียมิได้คือ การกำหนดและใช้ตัวแปร ( variable) ตัวแปรในภาษา PHP จะเหมือนกับในภาษา Perl คือเริ่มต้นด้วยเครื่องหมาย dollar ($) โดยเราไม่จำเป็นต้องกำหนดแบบของข้อมูล ( data type) อย่างเจาะจงเหมือนในภาษาซี เพราะว่า ตัวแปลภาษาจะจำแนกเองโดยอัตโนมัติว่า ตัวแปรดังกล่าว ใช้ข้อมูลแบบใด ในช่วงเวลานั้นๆ เช่น ข้อความ จำนวนเต็ม จำนวนที่มีเลขจุดทศนิยมตรรก เป็นต้น ตัวอย่างการใช้งาน เช่น
  • 21. โดยมีคำสั่งในเพิ่มเติมในการแสดงภาพ ดังนี้ การกำหนดขนาดรูปภาพ ให้ตรงกับความต้องการ WIDTH หมายถึง ความกว้างของรูปภาพ และ HEIGHT หมายถึง ความสูงของรูปภาพ <IMG SRC= \“picture.gif\” WIDTH=number% | HEIGHT=number%> การกำหนดกรอบให้กับรูปภาพ <BORDER=n> การวางตำแหน่งรูปภาพ แบบแนวนอน ประกอบด้วย LEFT | RIGHT แบบแนวตั้ง ประกอบด้วย เสมอบน มี 2 คำสั่ง คือ TOP | TEXTTOP กึ่งกลาง มี 2 คำสั่ง คือ MIDDLE | ABSMIDDLE เสมอล่าง มี 3 คำสั่ง คือ BASELINE | BOTTOM | ABSBOTTOM
  • 22. ชนิดของข้อมูล Integers ใช้สำหรับเก็บข้อมูลจำนวนเต็มทั้งจำนวนเต็มบวกและจำนวนเต็มลบ รวมทั้งแสดงค่าเป็น เลขฐานสิบ (0-9) ฐานแปด (0-7) และเลขฐานสิบหก (0-9, A-F หรือ a-f ) โดยที่เลขฐานแปดจะขึ้นต้นด้วย 0 และเลขฐานสิบหกจะขึ้นต้นด้วย 0x หรือ 0X มีค่าได้ทั้งบวกและลบ
  • 23. Floating point ใช้สำหรับเก็บข้อมูลจำนวนจริงบวกและลบ จะมีทศนิยมหรือไม่มีก็ได้และรูปแบบยกกำลัง String ใช้เก็บข้อมูลที่เป็นข้อความ รวมทั้งตัวเลข ( ไม่สามารถนำไปคำนวณได้ ) รหัสควบคุมพิเศษต่างๆ
  • 24. Array ข้อมูลแบบนี้เป็นการเก็บข้อมูลเป็นชุดๆ แต่ละชุดมีสมาชิกเป็นของตัวเองจะมีมากน้อยแค่ไหนก็ได้ ทำให้มีความคล่องตัวในการใช้งานมากขึ้น การสร้างตัวแปรอาเรย์จะใช้ฟังก์ชัน array() Object เป็นการเขียนชุดคำสั่งเพื่อเก็บข้อมูลในลักษณะออปเจกต์ เพื่อการเรียกใช้ Class Object หรือ Function ผลลัพธ์ที่ได้คือข้อความว่า Hello World ในการเรียกใช้ฟังก์ชันที่อยู่ภายใน Class จะใช้เครื่องหมาย - > เป็นการอ้างอิง
  • 25. ตัวดำเนินการ หรือ Operator ในภาษา PHP มี Operator ต่างๆ ให้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นโอเปอเรเตอร์ทางคณิตศาสตร์ โอเปอเรเตอร์เชิงตรรกะ เช่นเดียวดับภาษาอื่นดังนี้
  • 26.  
  • 27. การใช้เงื่อนไข ( condition) เพื่อการตัดสินใจ การใช้ IF...ELSE Condition เป็นการกำหนดเงื่อนไขที่ธรรมดาที่สุด คือกำหนดเงื่อนไข แล้วโปรแกรมตรวจสอบเงื่อนไขนั้น ถ้าเงื่อนไขนั้นเป็นจริงก็จะทำตามคำสั่งที่กำหนด ถ้าเป็นเท็จก็จะไม่ทำ ผลที่ได้ : Summation = 10
  • 28. การใช้ Switch…Case ในบางครั้งในการกำหนดทางเลือกของโปรแกรมโดยการใช้ If…Else อาจจะทำให้เขียนโปรแกรมยาวและทำความเข้าใจยาก ดังนั้นเราอาจใช้ Switch แทนซึ่งเขียนโปรแกรมง่ายกว่าและมีความกระชับมากกว่า ผลที่ได้ : i equals 2
  • 29. การวนลูป การใช้ While Loop คำสั่ง while จะทำงานโดยการตรวจสอบเงื่อนไขก่อน ถ้าเงื่อนไขเป็นจริงก็จะทำตามคำสั่ง ผลที่ได้ : 12345
  • 30. Do while เป็นคำสั่งที่คล้ายกับ While Loop แต่ต่างกันที่ Do while นั้นจะทำงานโดยการตรวจสอบเงื่อนไขภายหลังจากการทำงานไปแล้วแต่ While นั้นจะตรวจสอบเงื่อนไขก่อนการทำงาน ผลที่ได้ : 5 กรณีที่ใช้ While...Loop จะทำการตรวจสอบเงื่อนไขก่อน แล้วจึงค่อยทำในลูป กรณีที่ใช้ Do...Loop จะทำคำสั่งในลูปก่อน แล้วจึงค่อยตรวจสอบเงื่อนไข
  • 31. For Loop คำสั่งนี้จะทำหน้าที่สั่งให้โปรแกรมทำงานวนรอบตามต้องการ ซึ่งกำหนดเป็นเงื่อนไข โดยจะทำเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง และจะมีลักษณะการวนรอบที่รู้จำนวนรอบที่แน่นอน ผลที่ได้ : 12345
  • 32. Foreach เป็นการทำงานในลักษณะวนรอบที่ทำงานกับตัวแปรอาร์เรย์ โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลทั่วไป โดย $Value เป็นตัวกำหนดค่าให้กับ array expression โดยพอยน์เตอร์จะเลื่อนไปตามสมาชิดถัดไปของอาร์เรย์ตามการเปลี่ยนแปลงรอบที่เปลี่ยนไป
  • 33. การใช้ break และ continue ภายในลูป คำสั่ง break เป็นคำสั่งจะใช้เพื่อให้หยุดการทำงาน จากการใช้คำสั่งเพื่อวนรอบที่ผ่านมาจะเห็นว่าจะออกจากการวนรอบเมื่อสิ้นสุดการทำงานแล้วเท่านั้น แต่ถ้าต้องการให้หยุดทำงานกะทันหัน สามารถใช้คำสั่ง break ก็ได้ คำสั่ง continue เป็นคำสั่งที่ทำงานตรงข้ามกับคำสั่ง break คือ จะสั่งให้โปรแกรมทำงานต่อไป ถ้าใช้คำสั่ง Continue กับ For เมื่อพบคำสั่งนี้จะเป็นการสั่งให้กลับไปเพิ่มค่าให้กับตัวแปรทันที หรือถ้าใช้กับคำสั่ง While เมื่อพบคำสั่งนี้จะเป็นการสั่งให้กลับไปทดสอบเงื่อนไขใหม่ทันที
  • 34. ผลที่ได้ : Blue คำสั่ง continue บังคับให้ไปเริ่มต้นทำขั้นตอนในการวนลูปครั้งต่อไป ส่วน break นั้นส่งผลให้หยุดการทำงานของลูป
  • 35. การใช้คำสั่ง include และ require คำสั่งทั้งสองเอาไว้แทรกเนื้อหาจากไฟล์อื่นที่ต้องการ ข้อแตกต่างระหว่าง include และ require อยู่ตรงที่ว่า ในกรณีของการแทรกไฟล์ใช้ชื่อต่างๆ กันมากกว่าหนึ่งครั้งโดยใช้ลูป   คำสั่ง require จะอ่านเพียงแค่ครั้งเดียว คือไฟล์แรก และจะแทรกไฟล์นี้เท่านั้นไปตามจำนวนครั้งที่วนลูป ในขณะที่ include สามารถอ่านได้ไฟล์ต่างๆ กันตามจำนวนครั้งที่ต้องการ
  • 36. การใช้งาน MySQL การสร้างฐานข้อมูล ในการสร้างฐานข้อมูลของ MySQL สามารถสร้างผ่าน phpMyAdmin ได้เลย โดยการเลือก Internet Explorer ขึ้นมาพิมพ์ 127.0.0.1 ที่ address bar จะได้หน้าต่างดังนี้
  • 37. ชนิดของข้อมูลใน MySQL ชนิดของข้อมูลพื้นฐาน มี 3 ชนิด คือ ตัวเลข , วันที่เวลา และตัวอักษร แต่ละชนิดจะมีขนาดไม่เท่ากัน ดังนั้น เมื่อกำหนดคอลัมน์หรือฟิลด์ข้อมูลในตารางบนฐานข้อมูล จะต้องคำนึงถึงชนิดของข้อมูลด้วย เพื่อความเหมาะสมของข้อมูล โดยข้อมูลแต่ละชนิดมีรายละเอียดดังนี้ ชนิดตัวเลข แบ่งได้เป็น เลขจำนวนเต็มและเลขจำนวนจริง ตารางแสดงชนิดของตัวเลขจำนวนเต็ม
  • 40. ฟังก์ชันในการจัดการฐานข้อมูลใน MySQL การเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ในการติดต่อกับฐานข้อมูลจะต้องทำหารเปิดการติดต่อดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์ก่อน โดยมีรูปแบบการใช้งานดังนี้ mysql_connect (hostname, username, password); hostname คือ ชื่อของดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์ ในการที่ติดตั้ง MySQL ไว้ในเครื่องเดียวกับเว็บเซิร์เวอร์ ก็สามารถระบุเป็น localhost แทนชื่อจริงได้เลย username คือ ชื่อผู้ใช้ที่ถูกกำหนดให้สามารถทำงานกับ MySQL ได้ password คือ รหัสผ่านของผู้ใช้ หรือจะระบุหรือไม่ก็ได้
  • 41. ค่าที่คืนออกมาจากการเรียกใช้ฟังก์ชันนี้จะได้ค่าเป็นจริงหากสามารถติดต่อกับ MySQL ได้สำเร็จแต่ถ้าไม่สามารถติดต่อได้หรือติดต่อไม่สำเร็จจะมีค่าเป็นเท็จ เช่น
  • 42. การยกเลิกการเชื่อมต่อ ฟังก์ชันที่ใช้ในการยกเลิกหรือปิดการติดต่อดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์ mysql_close (database_connect); โดยผลลัพธ์ที่คืนออกมาจากฟังก์ชันนี้ ถ้าปิดการติดต่อกับ MySQL ได้สำเร็จก็จะมีค่าเป็นจริง ถ้าไม่สำเร็จจะมีค่าเป็นเท็จ เช่น
  • 43. การเรียกใช้ฐานข้อมูลผ่านเว็บ ก่อนการเรียกใช้ฟังก์ชันนี้ จะต้องมีการเรียกใช้ฟังก์ชัน mysql_connect เพื่อกำหนดฐานข้อมูลที่จะเชื่อมต่อเสียก่อน mysql_select_db (string databasename); Databasename คือ ชื่อของฐานข้อมูล เช่น
  • 44. การนำภาษา SQL มาใช้ในฐานข้อมูล MySQL ฟังก์ชัน mysql_query() เป็นฟังก์ชันสำหรับสั่งงาน MySQL ด้วยภาษา SQL เพื่อจัดการกับข้อมูลในฐานข้อมูล เช่น การเพิ่ม การลบ เป็นต้น ต้องใช้กับฟังก์ชัน mysql_select_db() mysql_query (string query, [database_connect]); query หมายถึง คิวรีที่เรียกใช้ฐานข้อมูล database_connect หมายถึง ตัวแปรที่ใช้เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล จะกำหนดหรือไม่ก็ได้ เช่น
  • 45. ฟังก์ชัน mysql_db_query() เป็นฟังก์ชันสำหรับสั่งงาน MySQL ด้วยภาษา SQL เพื่อจัดการกับข้อมูลในฐานข้อมูลเหมือนกับฟังก์ชัน mysql_query แต่ไม่ต้องใช้ร่วมกับฟังก์ชัน mysql_select_db() เพราะสามารถกำหนดชื่อฐานข้อมูลไว้ในฟังก์ชันได้เลย mysql_db_query (string databasename, string query); เช่น
  • 46. ฟังก์ชัน mysql_free_result() เป็นฟังก์ชันสำหรับคืนหน่วยความจำให้กับระบบ เพื่อใช้หน่วยความจำให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ถ้ามีการใช้ตัวแปรมากๆ แล้วไม่มีการคืนหน่วยความจำจะส่งผลให้หน่วยความจำเต็มและมีผลต่อการทำงานของระบบได้ mysql_free_result (int result); result หมายถึง ค่าที่ได้จากการใช้คำสั่งคิวรี เช่น
  • 47. ฟังก์ชัน mysql_create_db() เป็นฟังก์ชันสำหรับสร้างฐานข้อมูลใหม่ mysql_create_db (string databasename, [int database_connect]); databasename คือ ชื่อฐานข้อมูลที่ต้องการสร้างใหม่ database_connect คือ ตัวแปรที่ใช้เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล จะกำหนดหรือไม่ก็ได้
  • 48. ฟังก์ชัน mysql_fetch_array() เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับดึงค่าผลลัพธ์ของฐานข้อมูลเก็บไว้ในอาร์เรย์ ผลลัพธ์ที่คืนออกมาจากฟังก์ชันนี้ จะเป็นข้อมูลอาร์เรย์ที่มีสมาชิกเท่ากับจำนวนคอลัมน์ของตาราง mysql_fetch_array (int result); จากการใช้ฟังก์ชันนี้ จะเป็นการอ่านค่าและถ่ายค่าลงตัวแปรอาร์เรย์ทีละ 1 รายการ หากเราต้องการแสดงค่าของข้อมูลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบทุกรายการที่มีในตารางผลลัพธ์ ก็จะต้องกำหนดคำสั่งให้วนรอบการทำงานของฟังก์ชัน เช่น
  • 49. ฟังก์ชัน mysql_fetch_row() เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ข้อมูลไปยังเรคอร์ดถัดไป mysql_fetch_row (int result); ฟังก์ชัน mysql_num_fields() เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการหาจำนวนคอลัมน์ที่มีทั้งหมด mysql_num_fields (int result); ผลลัพธ์ที่คืนออกมากจากฟังก์ชันนี้ เป็นชนิดตัวเลข ได้แก่ จำนวนคอลัมน์ทั้งหมดของตาราง เช่น
  • 50. ฟังก์ชัน mysql_num_rows() เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับคำนวณหาจำนวนแถวหรือจำนวนรายการทั้งหมด mysql_num_rows (int result); ผลลัพธ์ที่คืนออกมาจากฟังก์ชันนี้ เป็นข้อมูลชนิดตัวเลข ได้แก่ จำนวนรายการทั้งหมดของตารางผลลัพธ์
  • 51. การอัปโหลดเว็บเพจเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ต วิธีการคือ เมื่อสร้างเว็บเพจสำเร็จแล้ว ก็ถึงขั้นตอนของการนำเว็บเพจไปฝังหรือฝากไว้ที่คอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์ของ ISP ที่เราเป็นสมาชิกอยู่ หรืออาจจะมี Server เป็นของตัวเองเพื่อให้ทุกคนที่เป็นสมาชิกอินเตอร์เน็ตมองเห็นเว็บเพจของเรา ด้วยวิธีการ Upload หรือทำการ Transfer File ซึ่งการอัปโหลด (Upload) คือการก๊อปปี้ไฟล์จากเครื่องพีซีของเราไปไว้ที่เครื่อง Host โดยใช้ FTP (File Transfer Protocal) เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างเครื่องพีซีและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็น Host สำหรับเครื่องพีซีจะต้องติดตั้งซอฟแวร์ในการอัปโหลดไฟล์ จากนั้นก็ทำการอัปโหลดไฟล์ไปไว้ในไดเร็กทอรีของตัวเอง
  • 52. ที่ หน้าจอด้านขวาจะเป็นส่วนของเซิร์ฟเวอร์ และทางซ้ายคือฝั่งพีซี การอัปโหลดไฟล์ทำได้โดยการเลือกไฟล์ที่ต้องการอัปโหลด แล้วคลิกที่รูปลูกศรชี้ขึ้นที่อยู่บนแถบเมนูบาร์หรือดับเบิ้ลคลิกไฟล์ที่ฝั่งพีซีหรือคลิกที่ไฟล์ แล้วลากเมาส์ไปยังด้านเซิร์ฟเวอร์ โปรแกรมจะรายงานผลการอัปโหลดในทุกระยะ จนกระทั่งการอัปโหลดเสร็จสมบูรณ์ และหากเราต้องการสร้างไดเร็กทอรี ก็สามารถทำได้โดยคลิกเมาส์ขวาที่ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ แล้วเลื่อนเมาส์ไปที่ Make new directory จะปรากฏหน้าจอ Create new dir ให้ใส่ชื่อไดเร็กทอรีใหม่ แล้วคลิก OK หากต้องการอัปโหลดไฟล์ไปไว้ในไดเร็กทอรีใหม่ ก็ดับเบิ้ลคลิกที่ชื่อไดเร็กทอรีที่สร้างไว้ แล้วอัปโหลดไฟล์ด้วยวิธีเดิม
  • 53. การจัดสร้างไดเร็กทอรีเป็นเว็บเพจย่อย จากหลักการข้างต้นนี้ เราสามารถจัดสร้างไดเร็กทอรีย่อย เพื่อจัดสร้างเป็น URL ย่อยสำหรับการเรียกเข้าถึงโดยตรง เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดสร้างร้านค้าย่อยหรือสร้างเว็บเพจย่อย โดยไม่ต้องคีย์ชื่อไฟล์ ก็สามารถทำได้โดยกำหนดชื่อไฟล์ ไฟล์แรก ชื่อ index.html การตั้งชื่อเรียกอยู่ภายใต้ไดเร็กทอรี มีข้อดีในการนำมาใช้เรียกชื่อร้านค้าย่อยที่ร่วมอยู่ในห้างออนไลน์เดียวกัน ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีเพราะชื่อที่เรียกไม่ยาวจนเกินไป และเป็นการใช้ชื่อร่วมกันอันทำให้เกิดความมั่นใจต่อผู้ซื้อ อย่างไรก็ตาม หากจะให้มีชื่อเรียกเป็นของตนเอง โดยส่วนใหญ่ก็มักจะไปจดชื่อโดเมนเป็นของตนเอง ซึ่งชื่อเหล่านี้ถือเป็นตรายี่ห้อสินค้าอย่างหนึ่ง ทำให้กลุ่มเป้าหมายจดจำได้ง่าย และเมื่อมีชื่อเสียงก็สามารถกลายเป็นทรัพย์สินทางปัญญาอย่างหนึ่งด้วย